Skip to content

สุดยอด โค้ชเรอัลมาดริด เบื้องหลังความสำเร็จของ ราชันชุดขาว

Share

เมื่อมีคำถามว่า “ใครคือโค้ชเรอัลมาดริดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเรอัลมาดริด” นอกจากบรรดาเหล่า นักเตะที่ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จแล้ว  บทความนี้ Thscore.to จะพาไม่รู้จักเบื้องหลังความสำเร็จของ ราชันชุดขาวว่ามีใครบ้าง 

สโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด หรือที่รู้จักกันดีในนามของ “ราชันชุดขาว” นั้นได้รังสรรค์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ ด้วยสไตล์การเล่นที่สวยงามเร้าใจ พวกเขาสร้างความประทับใจให้แก่แฟนบอลทั่วโลก แต่เบื้องหลังทีมงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดนั้น ย่อมมีผู้นำที่เก่งกาจ เป็นผู้วางรากฐานและขับเคลื่อนสโมสรให้ไปถึงจุดสูงสุด 

ทำไม เรอัลมาดริดถึงถูกเรียกว่า ลอส บลังโกส 

เรอัล มาดริด ภาคภูมิใจแห่งวงการลูกหนังโลก ด้วยการสวมชุดแข่งขันสีขาวบริสุทธิ์ในนัดสำคัญทุกนัด ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตกาล ชุดกีฬาสีขาวนวลนี้เองที่ก่อให้เกิดสมญานามอันทรงเกียรติ “โลส บลังโกส” หรือในความหมายตรงตัวก็คือ “ผู้ครองสีขาว” ซึ่งแฟนบอลชาวไทยรู้จักกันดีในนาม “ราชันชุดขาว”

4 โค้ชเรอัลมาดริด ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกุนซือตำนานราชันชุดขาว

มิเกล มูนญอซ

มิเกล มูนญอซ

มิเกลมุนญ่อซยืนหยัดเป็นราชาผู้ครองบัลลังก์ในแง่ของรางวัลที่คว้ามาได้ในฐานะผู้จัดการทีมเรอัลมาดริด ช่วงเวลา 15 ปีของเขา ตั้งแต่ปี 2503 ถึง 2517 นับเป็นยุคที่สโมสรครองความยิ่งใหญ่แบบไร้คู่แข่งในระดับประเทศ ด้วยฉายานาม “ดอนมิเกล” เขาปลูกฝังทัศนคติแห่งชัยชนะและความหิวกระหายในการคว้าชัยลงในตัวนักเตะของเขา กลยุทธ์การเล่นของเขาสร้างขึ้นบนพื้นฐานของแนวรับที่มั่นคง, แดนกลางที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว และกองหน้าที่มีพลังโจมตีสูงสุด ซึ่งเหมาะสมกับยุคสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง

รางวัลที่มุนญ่อซคว้ามาได้ถือเป็นหลักฐานยืนยันถึงความเป็นเลิศของเขา เขาคว้าแชมป์ลาลีกาสเปนไปถึง 9 สมัย ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่มีผู้จัดการทีมคนใดของเรอัลมาดริดเคยทำได้มาก่อน นอกจากนี้เขายังเสริมสร้างมรดกของสโมสรในระดับยุโรปด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (บรรพบุรุษของศึกแชมเปี้ยนส์ลีกยุคปัจจุบัน) 2 สมัย ในปี 2509 และ 2517 ยุคของเขายังได้เห็นสโมสรคว้าถ้วยสเปนิชคัพ 2 สมัย และอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย ซึ่งสร้างความมั่นใจให้แก่ฐานะของราชันชุดขาวในฐานะมหาอำนาจแห่งทวีปยุโรป

นอกเหนือจากรางวัลแล้ว มุนญ่อซยังทิ้งร่องรอยอันลึกซึ้งบนเอกลักษณ์ของสโมสร เขาหล่อหลอมดาวรุ่งอย่างพีร์รี, อามานซิโอ อามาโร และกรอสโซ วางรากฐานสำหรับความสำเร็จในอนาคต เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของความขยันหมั่นเพียร วินัย และทัศนคติไม่ยอมแพ้ ซึ่งได้หลอมรวมเข้าเป็นดีเอ็นเอของสโมสร และยังคงดังก้องสะท้อนในหัวใจของนักเตะและแฟนบอลจนถึงทุกวันนี้

บีเซนเต้ เดล บอสเก้

บีเซนเต้ เดล บอสเก้

สมัยของบิเซนเตเดลบอสเกกับเรอัลมาดริด ตั้งแต่ปี 2542 ถึง 2546 ได้นำพาบทใหม่มาสู่ประวัติศาสตร์ของสโมสร เขารับช่วงต่อจากทีมที่มีนักเตะฝีเท้าดี แต่ยังขาดการคว้าแชมป์ และด้วยจิตวิญญาณของผู้นำที่เขามี เขาช่วยปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขาออกมา แนวทางของเดลบอสเกมีลักษณะผสมผสานระหว่างความเป็นนักปฏิบัติและศิลปะในการรุกเป็นอย่างดี เขาปลูกฝังความรู้สึกการควบคุมเกมในแดนกลาง ซึ่งถูกควบคุมโดยตำนานอย่างเฟอร์นานโดเรดอนโด ในขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังการรุกของผู้เล่นอย่างราอูลกอนซาเลซ, โรแบร์โตคาร์ลอส และหลุยส์ฟีโก้

ยุคของเดลบอสเกมีจุดสำคัญสองประการ นั่นคือการคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 8 และ 9 ในปี 2543 และ 2545 ตามลำดับ ซึ่งยืนยันสถานะของราชันชุดขาวในฐานะราชาของทวีปยุโรป เขายังคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย และสเปนิชซูเปอร์คัพ 1 สมัย ในช่วงสี่ปีของการคุมทีม

แม้รางวัลจะเป็นเครื่องวัดความสำเร็จที่สำคัญ แต่ผลงานของเดลบอสเกนั้นมีมากกว่าแค่ถ้วยรางวัล เขาเป็นผู้หล่อหลอมฝีเท้าของนักเตะรุ่นใหม่อย่างไอเกอร์กาสียาสและกูติ ซึ่งต่อมากลายเป็นเสาหลักของทีมในอนาคต ท่าทีสงบนิ่งและความสามารถในการปรับกลยุทธ์ของเขาเป็นแรงหนุนที่มั่นคงในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของสโมสร มรดกของเดลบอสเกอยู่ที่ความสามารถในการเชื่อมช่องว่างระหว่างรุ่น และเตรียมทางสำหรับการมาถึงของยุคกาลัคติกอส ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการคว่ำบาตรดาวดังจากทั่วทุกมุมโลก

ซีเนดีน ซีดาน

ซีเนดีน ซีดาน

การมาเป็นผู้จัดการทีมของซีเนดีนซีดานในปี 2559 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรอัลมาดริด ในฐานะตำนานของสโมสรและผู้คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัยสมัยเมื่อยังเป็นนักเตะ การเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้นำถูกจับจ้องด้วยความคาดหวังและความสงสัย อย่างไรก็ตาม เขาพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถด้วยการตัดสินใจทางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาดและทักษะการบริหารจัดการนักเตะ

แนวทางของซีดานประสบความสำเร็จอย่างน่าประหลาดใจ เขาปฏิวัติการเล่นแนวรุกของราชันชุดขาวด้วยการนำระบบ 4-3-3 มาใช้ ซึ่งเน้นสร้างพลังจากสามแนวรุกตรงกลาง และความเร็วบนริมเส้นสนาม ผู้เล่นอย่างลูกาโมดริช, โทนี่โครสและคาเซมิโรกลายเป็นแกนหลักสร้างสรรค์เกม ควบคุมจังหวะและส่งบอลไปหาหน้าประตูให้คริสเตียโนโรนัลโด, คาริมเบนเซมาและกาเร็ธเบล

ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นน่าทึ่งเกินกว่าคำว่าน่าประหลาดใจ ยุคของซีดานได้เห็นราชันชุดขาวครองบัลลังก์แชมเปี้ยนส์ลีกอย่างไร้ที่ติ เขานำทีมคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกันในปี 2559 ถึง 2561 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อนในยุคสมัยใหม่ ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ยึดสถานะของเขาให้อยู่ในระดับผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมไม่เพียงแค่ของเรอัลมาดริด แต่ในวงการฟุตบอลโลกทั้งหมด

นอกเหนือจากแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกแล้ว ซีดานยังนำทีมคว้าแชมป์ลาลีกา 1 สมัยในปี 2560 พร้อมด้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2 สมัย ในปี 2559 และ 2560 รวมถึงฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2 สมัย ในปีเดียวกัน สถิติชนะในฐานะผู้จัดการทีมระหว่างสมัยแรกของเขาคิดเป็น 69% ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันถึงความเป็นเลิศทางกลยุทธ์และความสามารถ

คาร์โล อันเชล็อตติ

คาร์โล อันเชล็อตติ

หลังจากซีดานลาออกจากตำแหน่ง เรอัล มาดริดจึงหันมาวางใจในประสบการณ์และความสำเร็จอันยาวนานของคาร์โล อันเชลอตติในปี 2018 อันเชลอตติ ผู้คว้าแชมป์มาแล้วในหลากหลายลีกชั้นนำของยุโรป นำประสบการณ์อันหนักแน่นและวิธีการที่เป็นระบบมาประจำการคุมทีม โฟกัสหลักของเขาคือการสร้างทีมใหม่หลังจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ย้ายออกไป และพัฒนารูปแบบการเล่นให้มีความสมดุลมากขึ้น

ฤดูกาลแรกของอันเชลอตติกับราชันชุดขาวถือเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยน แม้พวกเขาจะคว้าแชมป์โลกสโมสรได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในลาลีกาและแชมเปี้ยนส์ลีก อย่างไรก็ตาม ฤดูกาล 2021-22 กลับเป็นจุดพลิกผันสู่ความสำเร็จอีกครั้ง อันเชลอตติประยุกต์ใช้ระบบ 4-3-3 อย่างคล่องแคล่ว เปิดโอกาสให้โมดริชและกรูซสามารถสร้างสรรค์เกมได้อย่างเต็มที่ พร้อมปลดปล่อยพลังการทำประตูของคาริม เบนเซมา ดาวยิงชาวฝรั่งเศสกลายเป็นนักเตะคนสำคัญ นำทีมด้วยความเป็นผู้ใหญ่และจังหวะจบสกอร์ที่คมกริบอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

ความพยายามอันหนักแน่นของอันเชลอตติส่งผลให้เรอัล มาดริดคว้าดับเบิลแชมป์อันยิ่งใหญ่ ทีมราชันชุดขาวซิวแชมป์ลาลีกาสมัยที่ 35 อย่างงดงาม แสดงให้เห็นถึงเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้นควบคู่ไปกับสไตล์การเล่นแบบโจมตีอันเป็นเอกลักษณ์ ประเด็นสำคัญคือพวกเขายังคว้าแชมป์เปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 14 อีกด้วย หลังเอาชนะลิเวอร์พูลในนัดชิงชนะเลิศอย่างสนุกสนาน คุณงามความดีนี้ของอันเชลอตติยืนยันสถานะของเขาในบรรดากุนซือที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของสโมสร

สรุป

เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเรอัลมาดริด คือผู้จัดการทีมที่มีความสามารถระดับตำนาน ซึ่งได้วางรากฐานและขับเคลื่อนสโมสรให้ไปสู่จุดสูงสุด เมื่อย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของสโมสร เราจะพบว่ามีผู้จัดการทีมหลายคนที่ได้สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ให้กับ “ราชันชุดขาว”

Guru Sports คุณจะได้พบกับการรายงานข่าวสารอัปเดตอย่างต่อเนื่องจากลีกระดับโลก อาทิ พรีเมียร์ลีก, ลาลีกา, บุนเดสลีกา และกัลโช่ เซเรีย อา

ทีมงานมืออาชีพของเราติดตามและนำเสนอผลการแข่งขัน วิเคราะห์เกม รวมถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดในวงการฟุตบอลด้วยความรวดเร็วและน่าสนใจ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สารบัญ